
น้ำมันปลาหรือที่เรียกกันว่า “Fish oil” คนส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าน้ำมันปลาช่วยบำรุงสมองทำให้มีความจำที่ดีและเป็นไขมันดีที่ช่วยบำรุงร่างกาย แต่ประโยชน์ของน้ำมันปลานั้นยังมีอีกมากมาย และหลาย ๆ คนจะสับสนระหว่าน้ำมันปลาและน้ำมันตับปลา ซึ่งจริง ๆ แล้วน้ำมันปลาและน้ำมันตับปลานั้นแตกต่างกัน คือ น้ำมันปลามีส่วนประกอบหลักคือ Omega-3 ส่วนน้ำมันตับปลามีส่วนประกอบหลักคือวิตามิน A และ D

มารู้จักน้ำมันปลาหรือ Fish oil กัน
น้ำมันปลา คือ น้ำมันที่สกัดมาจากปลาจากแหล่งธรรมชาติ มีส่วนประกอบคือ โอเมก้า-3 (Omega-3) ซึ่งเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวและเป็นกรดไขมันที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย เนื่องจากร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ ซึ่งประกอบไปด้วย EPA (Eicosapentaenoic acid) และ DHA (Docosahexaenoic acid) ซึ่ง Omega-3 นั้นมีประโยน์หลายอย่าง ได้แก่
- ช่วยลดระดับไขมันในร่างกาย(triglycerides)และลดความเสี่ยงของภาวะหัวใจขาดเลือด
- แนวทางการใช้ยารักษาภาวะไขมันผิดปกติเพื่อป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด พ.ศ.2559 ระบุไว้ว่าการรับประทาน Omega-3 ในปริมาณตั้งแต่ 2,000 mg ต่อวัน จะช่วยลดระดับ triglycerides ได้ประมาณ 20-50%
- ผู้ที่มีภาวะไขมันสูงควรรับประทาน Omega-3 ในปริมาณ 3,000-4,000 mg ต่อวัน
- เพิ่มการหลั่งน้ำตาทำให้ช่วยรักษาและบรรเทาอาการตาแห้งได้
- ควรรับประทาน Omega-3 ในปริมาณ 600 mg ต่อวัน
- ช่วยพัฒนาด้านการเรียนรู้และการจดจำ
- ควรรับประทาน Omega-3 ในปริมาณ 900-2,000 mg ต่อวัน
- ช่วยการพัฒนาของระบบประสาทและสมอง
- ควรรับประทาน Omega-3 ในปริมาณขั้นต่ำ 600 mg ต่อวัน
- ช่วยควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับที่ปกติและเพิ่มการไหลเวียนโลหิตให้ดีขึ้น
- ควรรับประทาน Omega-3 ในปริมาณ 2,000-4,000 mg ต่อวัน
- บรรเทาอาการปวดตามข้อเนื่องจากมีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ
- ควรรับประทาน Omega-3 ในปริมาณ 2,700 mg ต่อวัน

ใครที่ควรทานน้ำมันปลาหรือ Fish oil
- ผู้ที่ทานปลาน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์
- ผู้ที่ต้องการบำรุงร่างกายในขั้นพื้นฐาน เช่น สมอง สายตา และระบบหัวใจและหลอดเลือด
- ผู้ที่มีอาการปวดตามข้อ
- ผู้ที่อยู่ในวัยทำงาน เด็กนักเรียนหรือนักศึกษา

ทั้งนี้การใช้ยาและอาหารเสริมทุกครั้งเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและมีความปลอดภัยควรปรึกษาแพทย์และเภสัชกรทุกครั้งก่อนการใช้ยาและอาหารเสริม