จมูกอักเสบภูมิแพ้ (Allergic Rhinitis)

ภาวะเยื่อบุจมูกอักเสบ (Rhinitis) เป็นภาวะที่มีการอักเสบของ Nasal Mucosa มักมีอาการ คัดจมูก คันจมูก จาม น้ำมูกไหล หรือน้ำมูกไหลลงคอ แบ่งได้ 2 ชนิดใหญ่ ๆ ตามสาเหตุ คือ

  1. Allergic Rhinitis เกิดจากสารก่อภูมิแพ้ 
  2. Nonallergic Rhinitis ไม่ได้มีสาเหตุมาจากสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งอาจมีสาเหตุที่ชัดเจนสามารถรักษาได้ ไปจนถึงไม่มีสาเหตุ

โรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ (Allergic Rhinitis) เป็นโรคที่เยื่อบุจมูกมีความไวต่อสารก่อภูมิแพ้ โดยมีการตอบสนองผ่าน IgE-Antibody เป็นโรคที่สามารถพบได้บ่อยทั่วโลก มักเกิดก่อนอายุ 20 ปี และมักจะมีอาการดีขึ้นเมื่อเข้าสู่วัยกลางคน และอาจพบภาวะแพ้ที่อวัยวะอื่นร่วมด้วย ได้แก่ โรคหอบหืด ผื่นแพ้ เยื่อบุตาอักเสบ ริดสีดวงจมูก ถึงแม้โรคจมูกอักเสบภูมิแพ้จะไม่อันตรายถึงแก่ชีวิต แต่อาจรบกวนต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้มากพอ ๆ กับโรคหอบหืด

โรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ

  • Perennial Allergic Rhinitis เกิดจากการสัมผัส Indoor Allergen เช่น ไรฝุ่น รา แมลงสาบ หรือรังแคจากสัตว์ ไม่สัมพันธ์กับฤดูกาลสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดทั้งปี
  • Seasonal Allergic Rhinitis เกิดจากการสัมผัสกับ Outdoor Allergen ตามฤดูกาล เช่น เกสรดอกไม้
  • Occupational Rhinitis เกิดขึ้นจากการสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ต่าง ๆ ใน สถานที่ทำงาน

พยาธิสรีรวิทยา

การที่จะเป็นโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ผู้ป่วยต้องเคยได้รับสารก่อภูมิแพ้มาก่อน (Desensitization Phase) เมื่อรับสารก่อภูมิแพ้จะมีการกระตุ้น Antigen Presenting Cell เช่น Dendritic Cell ที่ผิวของเยื่อบุจมูก กระตุ้นให้ร่างกายเปลี่ยน Native CD4-T Cell เป็น Allergen-Specific Th2 Cell ซึ่งจะหลั่ง Cytokines ไปกระตุ้น B-cell สร้าง IgE จำเพราะต่อสารก่ภูมิแพ้ และเพิ่มปริมาณของ Eosinophil, Mast Cell และ Neutrophil Antigen-Specific IgE จะไปจับอยู่บน Mast Cell หรือ Basophils ต่อมาเมื่อได้รับสารก่อภูมิแพ้อีก (Sensitization Phase) สารก่อภูมิแพ้จะไปจับกับ IgE บน Mast Cell กระตุ้นให้ Mast Cell หลั่งสาร Histamine, Leukotriene, Prostaglandin ซึ่งจะไปกระตุ้นให้มีการอักเสบภายในโพรงจมูก (Early Phase) ซึ่งจะเกิดขึ้นภายใน 30 นาทีหลังได้รับสารก่อภูมิแพ้

ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้

  • กรรมพันธุ์และประวัติในครอบครัว
  • ปัจจัยเสี่ยงแรกเกิด เช่น คลอดก่อนกำหนด น้ำหนักตัวแรกคลอดต่ำกว่าเกณฑ์ มารดาอายุน้อย
  • การสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ เช่น ไรฝุ่น เกสรดอกไม้ รังแคจากสัตว์เลี้ยง เชื้อรา แมลง อาหาร มลพิษ สารเคมี และควันบุหรี่เป็นต้น

อาการและอาการแสดง

อาการที่พบได้บ่อย น้ำมูกใส จาม คัดจมูก และคันจมูก (ไม่จำเป็นต้องมีอาการทั้ง 4 อย่างพร้อม ๆ กัน) อาจมีอาการที่อวัยวะอื่นร่วมด้วย เช่น คันหู คันคอ คันตา ผื่นคันที่ผิวหนัง หรือมีอาการหอบหืดร่วมด้วย 

อาการคัดจมูกมักเป็น 2 ข้าง หรืออาจเป็นสลับข้างกัน โดยทำให้อาการคัดจมูกที่เกิดจาก Nasal Cycle เป็นมากขึ้น หากมีอาการคัดจมูกข้างเดียวให้สงสัยว่าอาจมีสาเหตุจากอย่างอื่น หรือมีสาเหตุอื่นร่วมด้วย ที่พบได้บ่อย คือ ผนังกั้นโพรงจมูกคด หากมีอาการคัดมาก ๆ จะส่งผลทำให้การได้กลิ่นและต่อมรับรสลดลง

อาการอื่น ๆ ที่อาจพบได้แก่ ใต้ตาคล้ำ มีรอยย่นเหนือปลายจมูก เยื่อบุจมูกซีด ปวดศีรษะ เสียงเปลี่ยน หูอื้อ หรือมีเสียงดังในหู ในผู้ป่วยที่มีอาการตั้งแต่อายุน้อย ๆ และมีอาการนาน ๆ ทำให้ต้องหายใจทางปาก อาจทำให้การเจริญเติบโตของกระดูกใบหน้าและฟันผิดปกติ (Long-Face syndrome) คือ ใบหน้าส่วนล่างจะยาวกว่าปกติ เพดานปากจะแคบและโค้งสูง เวลายิ้มจะมองเห็นส่วนของเหงือกที่อยู่เหนือฟันบนได้มาก เรียกว่า Gummy smile และอาจมีความผิดปกติของการสบฟันร่วมด้วย

การวินิจฉัยโรค

  • ลักษณะทั่วไป
  • ลักษณะของใบหน้า ในเด็กที่มีอาการมานาน อาจพบใบหน้าส่วนล่างยาว (Long Face Syndrome) รอยคล้ำใต้ตา (Allergic Shiner) รอยย่นบริเวณสันจมูก (Allergic Nasal Crease/line)
  • การตรวจทางหู คอ จมูก
  • ตรวจโพรงจมูกด้านหน้า อาจพบ Turbinate บวม ซีดหรือม่วงคล้ำ น้ำมูกใส แต่ในขณะที่ไม่มีอาการเยื่อบุจมูกอาจปกติ หากมีน้ำมูกขุ่น เหลืองเขียว ต้องสงสัยภาวะจมูกและไซนัสอักเสบจากแบคทีเรียร่วมด้วย บางรายอาจพบริดสีดวงจมูกร่วมด้วย ต่อมแอดีนอยด์หรือเนื้อเยื่อน้ำเหลืองโต (Lymphoid Hyperplasia)
  • การตรวจโพรงจมูกโดยการส่องกล้อง (Nasal Endoscopy) ไม่จำเป็นต้องทำทุกราย ทำในรายที่รักษาแล้วไม่ดีขึ้นหรือสงสัยว่ามีโรคอื่นร่วมด้วย
  • ตรวจหู อาจพบแก้วหูขุ่น น้ำขังในหูชั้นกลาง มีการยุบตัวของแก้วหู (Retraction) จากการทำงานบกพร่องของท่อยูสเทเชียน และอาจมีการได้ยินลดลงได้
  • ตรวจคอและกล่องเสียง อาจพบตุ่มนู่นกระจายทั่วไป (Cobblestone / Granular Pharynx) อาจพบการอักเสบของกล่องเสียง หรือมีการบวมของสายเสียงได้ หากผู้ป่วยมีน้ำมูกไหลลงคอ ซึ่งทำให้ไอหรือกระแอมบ่อย

การซักประวัติ 

มีความสำคัญอย่างมากในการวินิจฉัยและประเมินความรุนแรงของโรค โดยควรถามทั้งอาการทางจมูก อาการร่วมและภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่อาจพบ

  • อาการทางจมูก (มีอาการอย่างน้อย 2 อย่าง เป็นมากกว่า 1 ชั่วโมงในแทบทุกวัน)
    • คันจมูก
    • จามติด ๆ กัน
    • น้ำมูกใส
    • คัดแน่นจมูก
  • อาการอื่น ๆ ที่อาจพบร่วมด้วย
    • การได้รับกลิ่นลดลง
    • อาการภูมิแพ้ทางผิวหนัง ดวงตา โรคหอบหืด
    • ประวัติครอบครัว
    • อาการนอนกรน ความผิดปกติของการนอนหลับ
    • อาการทางคอ เช่น น้ำมูกไหลลงคอ ไอเรื้องรัง
    • อาการทางหู เช่น หูอื้อ เสียงในหู
  • ความถี่ และความรุนแรงของอาการ
    • ความถี่
      • Intermittent (มีอาการเป็นช่วง ๆ ) หมายถึง มีอาการน้อยกว่า 4 วันต่อสัปดาห์ หรือมีอาการติดต่อกันน้อยกว่า 4 สัปดาห์ต่อปี
      • Persistent (อาการเป็นคงที่) หมายถึง มีอาการมากกว่า 4 วันต่อสัปดาห์ และมีอาการติดต่อกันนานกว่า 4 สัปดาห์
    • ความรุนแรง
      • Mild (อาการน้อย)
        • นอนหลับได้ตามปกติ
        • ไม่รบกวนกิจวัตรประจำวัน การเล่นกีฬา และการใช้เวลาว่าง
        • ไม่มีปัญหาต่อการทำงานหรือการเรียน
        • อาการไม่ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกรำคาญ
      • Moderate to severe (อาการปานกลางถึงมาก)
        • ไม่สามารถนอนหลับได้ตามปกติ
        • มีผลต่อกิจวัตรประจำวัน การเล่นกีฬาและการใช้เวลาว่าง
        • มีปัญหาต่อการทำงานหรือการเรียน
        • อาการทำให้ผู้ป่วยรู้สึกรำคาญ

ยาที่ใช้รักษาโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้

ยาต้านฮิสทามีน (Antihistamine (H1-receptor antagonist))

เป็นยาที่ขัดขวางการทำงานของฮิสทามีนที่ตัวรับฮิสทามีน (H1-receptor) โดยกลไก Neutral Antagonist หรือ Inverse Agonist ยาต้านฮิสทามีนบางชนิดมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ (Antiallergic หรือ Anti-Inflammatory effect) ด้วยข้อบ่งชี้ในการใช้ยาต้านฮิสทามีนคือผู้ป่วยโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ ที่มีอาการคัน, จาม, น้ำมูกไหล ซึ่งมีอาการเป็นช่วง ๆ (Intermittent Allergic Rhinitis) หรือมีอาการไม่มาก ถ้ามีอาการคงที่หรือมีอาการมาก (Moderate to Severe) มักให้ร่วมกับยาชนิดอื่น ๆ

ยาต้านฮิสทามีนใช้ได้ผลดีในผู้ป่วยโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ เพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยให้ดีขึ้น โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของไทยแนะนำให้ใช้ในเด็กตั้งแต่อายุ 6 เดือนหรือ 2 ปีขึ้นไป ขึ้นกับชนิดของยาและโรค

ยาต้านฮิสทามีนชนิดเฉพาะที่ (Topical H1-antihistamine)

ยาต้านฮิสทามีนชนิดพ่นจมูก มีประสิทธิภาพดีในการบรรเทาอาการคัน, จาม, คัดจมูก, น้ำมูกไหล และผู้ป่วยโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้มักทนต่อยาได้ดี แนะนำให้ใช้ในเด็กอายุ 5 ปี ขึ้นไป สามารถออกฤทธิ์ได้เร็ว ภายใน 30 นาที (Azelastine และ Olopatadine)

ยาต้านฮิสทามีนผสมกับยาหดหลอดเลือด (H1-Antihistamine + Decongestants)

เมื่อผสมตัวยาทั้ง 2 ชนิดเข้าด้วยกันจะช่วยบรรเทาอาการคัดจมูกในโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ได้เพิ่มขึ้น โดยยาหดหลอดเลือดจะออกฤทธิ์ผ่านทาง α-Adrenergic receptor ในจมูก ทำให้หลอดเลือดหดตัว และเนื้อเยื่อในจมูกยุบบวม ซึ่งยาหดหลอดเลือดชนิดพ่น / หยดทางจมูก (Nasal Decongestant) ไม่ควรใช้ต่อเนื่องนานเกิน 5 วัน เพราะจะทำให้เกิดอาการกลับมาคัดแน่นจมูกมากขึ้นหลังหยุดยา (Rebound Congestion) หรือที่เรียกว่า Rhinitis Medicamentosa ตามมาได้

ยาสเตียรอยด์พ่นจมูก (Nasal Corticosteroids)

ยาสเตียรอยด์พ่นจมูกเป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงในการรักษาโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ โดยสามารถลดอาการทางจมูกได้ทุกอาการ ได้แก่ อาการคันจมูก จาม น้ำมูกไหลและคัดแน่นจมูก และลดอาการทางตาได้ด้วย และยังมีประสิทธิภาพดีกว่ายาต้านฮิสทามีนทั้งชนิดกินและชนิดพ่น จึงแนะนำให้ใช้ยาสเตียรอยด์พ่นจมูกเป็นลำดับแรกในผู้ป่วยโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ชนิดคงที่ ที่มีอาการปานกลางถึงรุนแรง หรือมีอาการคัดจมูกเด่น โดยยาจะออกฤทธิ์ช้าประมาณ 7 – 8 ชั่วโมง และยาจะมีประสิทธิภาพเต็มที่หลังใช้ยาอย่างสม่ำเสมอนาน 1 – 2 สัปดาห์

Anti-Leukotrienes

Leucotriene เป็นสารที่สร้างในผู้ป่วยโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ มีการศึกษาว่า Anti-leukotriene ได้ผลพอ ๆ กับ Antihistamine ในการรักาอาการทางจมูก โดยยาจะออกฤทธิ์ขัดขวางการจับระหว่าง cysLTs กับ receptor ได้รับรองให้ใช้ในการรักษาโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ เมื่อใช้ร่วมกับ Antihistamine จะสามารถควบคุมอาการได้ดีกว่าการใช้ยาตัวใดตัวหนึ่ง แต่ยังไม่เท่ายาสเตียรอยด์พ่นจมูก สำหรับอาการคัดจมูกพบว่าได้ผลลดอาการได้เท่าเทียมกับยา Pseudoephedrine เนื่องจากยา Anti-leukotriene ใช้ได้ผลดีทั้งในโรคทางเดินหายใจส่วนบนและส่วนล่าง

Mast Cell Stabilizer

เช่น Cromone ได้แก่ Cromolyn Sodium ซึ่งยาตัวนี้จะออกฤทธิ์ช้า และมีฤทธิ์สั้น ในปัจจุบันยังไม่มีจำหน่ายในประเทศไทย

การจ่ายยาในร้านยา

แบ่งเป็น 3 กลุ่ม

  1. มีอาการไม่เกิน 4 วันต่อสัปดาห์ ไม่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน (Mild Intermittent) 

แนะนำให้ใช้ยากลุ่ม Oral H1-Antihistamine หรือ Topical Antihistamine หรือ Oral Anti-Leukotriene โดยเลือกยาตัวใดตัวหนึ่ง ให้เฉพาะเวลามีอาการไม่จำเป็นต้องใช้ต่อเนื่อง หากอาการไม่ดีขึ้นอาจเปลี่ยนยาหรือใช้ควบคู่กับกลุ่มอื่น หากมีอาการคัดแน่นจมูกให้ใช้ Decongestant ร่วมด้วย หากใช้แล้วอาการไม่ดีขึ้นให้พิจารณาใช้ยาในข้อ 2

  1. มีอาการไม่เกิน 4 วันต่อสัปดาห์ แต่รบกวนชีวิตประจำวัน หรือ มีอาการมากกว่า 4 วันต่อสัปดาห์ ไม่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน (Moderate – Severe Intermittent และ  Mild Persistent)

แนะนำให้ใช้ยากลุ่ม Oral H1-Antihistamine หรือ Topical Antihistamine หรือ Oral Anti-Leukotriene โดยเลือกยาตัวใดตัวหนึ่ง ร่วมกับ Steroid พ่นจมูก หากมีอาการคัดแน่นจมูกให้ใช้ Decongestant ร่วมด้วย ประเมินผลการรักษาหลังจากใช้ครบ 2 – 4 สัปดาห์ หากประเมินแล้วดีขึ้นให้ใช้ต่อเนื่องอีก 1 เดือน หากไม่ได้ผลให้พิจารณาใช้ยาในข้อ 3

  1. มีอาการมากกว่า 4 วันต่อสัปดาห์ และรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน (Moderate – Severe Persistent)

พิจารณาใช้ Steroid พ่นจมูก ร่วมกับ H1-Antihistamine และ Anti-Leukotriene ประเมินผลการรักษาหลังจากใช้ครบ 2 – 4 สัปดาห์ หากประเมินแล้วดีขึ้นให้ใช้ต่อเนื่องอีก 1 เดือน หากไม่ได้ผลให้ประเมินว่าเกิดจากสาเหตุใดได้บ้าง เช่น ความสม่ำเสมอของการใช้ยา ความถูกต้องของการใช้ยา หรือมีไซนัสอักเสบ ริดสีดวงจมูกร่วมด้วย หากไม่ได้เกิดจากสาเหตุอื่นให้ Step up ขนาดยา

DrugLow daily Dose (μg)Medium daily Dose (μg)High daily Dose (μg)
Beclomethasone dipropionate200 – 500>500 – 1000>1000 – 2000
Budesonide200 – 400>400 – 800>800 – 1600
Ciclesonide80 – 160> 160 – 320>320 – 1280
Flunisolide500 – 1000>1000 – 2000>2000
Fluticasone propionate100 – 250>250 – 500>500 – 1000
Mometasone furoate200 – 400>400 – 800>800 – 1200
Triamcinolone acetonide400 – 1000>1000 – 2000>2000
ชื่อยาประเภทของยาตามความเสี่ยงต่อตัวอ่อน / ทารกอายุที่แนะนำให้ใช้
Intranasal Corticosteroids
BeclomethasoneB6 ปี
BudesonideC6 ปี
Fluticasone propionateC4 ปี
Triamcinolone acetonideC2 ปี
Fluticasone FuroateC2 ปี
Mometasone furoateC2 ปี
Oral Antihistamines
CetirizineB2 ปี
DesloratadineC6 เดือน
FexofenadineC6 เดือน
LevocetirizineB6 ปี
LoratadineB2 ปี
Decongestants
PseudoephedrineC2 ปี
OxymetazolineC6 เดือน
Anti-Leukotriene
MontelukastB6 เดือน